วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เข้าร่วมเป็นเครือข่ายของโครงการช้างยิ้ม กรุงเทพมหานคร




มูลนิธิกองทุนรักษ์ช้าง ต้องการเห็นปัญหาช้างเร่ร่อนหมดไปจากสังคม จึงได้ร่วมเป็นเครือข่ายของโครงการช้างยิ้ม เรามาดูกันว่า "โครงการช้างยิ้ม" มีความเป็นมาอย่างไร

ความเป็นมาของโครงการช้างยิ้ม

โดย โครงการช้างยิ้ม

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้มีนโยบายในการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนอย่างยั่งยืน โดยใช้เทคนิคการบูรณาการความร่วมมือแบบพหุภาคี จากผู้มีส่วนรับผิดชอบ (Stakeholder) ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน หน่วยงานราชการ และสื่อสารมวลชน เพื่อระดมสรรพกำลังในการวางแผนปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดผลในทางการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของช้างเร่ร่อน และควาญช้างอย่างยั่งยืน 
          ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร จะปรับประยุกต์ใช้หลักการวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment) โดยการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการที่ทางราชการมีมาตรการที่เด็ดขาด ในการจับ ปรับ ยึด เพื่อป้องกันการนำช้างเร่ร่อนมาหารายได้ในเขตเมืองใหญ่ ซึ่งเกิดผลดีต่อการบริหารเมือง ในด้านความเป็นระเบียบเรียบร้อย การจราจร และความปลอดภัยของประชาชน แต่ปรากฏว่าในข้อเท็จจริงมาตรการดังกล่าว กลายมาเป็นจุดคุกคามการมีชีวิตรอดของช้างและควาญช้าง เป็นวงจรเรื้อรังเป็นระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดวิกฤตช้างไทย ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเกื้อกูล ร่วมเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหา และนำเข้าสู่การเป็นวาระแห่งชาติ
          กรุงเทพมหานคร โดยสำนักเทศกิจ จึงได้เริ่มแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนอย่างยั่งยืนขึ้น มุ่งหวังให้เกิดระบบการทำงานที่ประสานเชื่อมโยงในการสร้างเครือข่ายปฏิบัติ การที่เข้มแข็ง เพื่อการสร้างสรรค์ผลสัมฤทธิ์ให้เกิดประโยชน์แก่ช้างไทย ซึ่งเคยมีบทบาทอย่างสูงในประวัติศาสตร์การสร้างชาติ และเคยมีความสำคัญในด้านการเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำชาติ การดำรงอยู่ของสังคมและวัฒนธรรมประเพณีของไทย และมีความผูกพันทางจิตใจระหว่างคนไทยกับช้างไทยเป็นอย่างมาก

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

พระกรุณาธิคุณต่อช้างไทยของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

By Monarchians (Own work) [CC BY 2.0 (http://creativecommons.org/licenses/by/2.0) or GFDL (http://www.gnu.org/copyleft/fdl.html)], via Wikimedia Commons

คอลัมน์: ต้นซอยวิภาฯ 38  "สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงมีพระกรุณาธิคุณต่อช้างไทย" ตอนที่ 1 และ 2
โดย ผศ.ทวีเกียรติ ไชยยงยศ
หนังสือพิมพ์บ้านเมือง| เสาร์ที่ 18 ตุลาคม 2551 09:30:45 น. และ อาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2551 11:05:38 น.

ท่ามกลางที่ประชาชนชาวไทย กำลังมีความสุขในโอกาสที่วันปีใหม่ 2551 มาเยือน แต่พลันประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ต้องร่ำไห้เศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งเมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ เมื่อเวลา 2 นาฬิกา 54 นาที วันพุธที่ 2 มกราคม 2551 ด้วยพระชันษา 84 ปี

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2550 พสกนิกรชาวไทยทั้งปวงต่างอัดอั้นหวั่นเกรงเมื่อได้ยินแถลงการณ์สำนัก พระราชวัง ถึงอาการประชวรของพระองค์ท่านมาเป็นลำดับ ได้แต่ภาวนาให้พระองค์ท่านหายประชวรโดยเร็ว สุดท้ายพระองค์ต้องเสด็จสู่สวรรคาลัยในที่สุด ยังความเศร้าโศกมาสู่พสกนิกรชาวไทย เสียงร่ำไห้ของคนไทยดังระงมไปทั่วแผ่นดิน

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงเป็นที่รักยิ่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและของประชาชนชาวไทย ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2466 เป็นพระธิดาองค์แรก ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์) และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์ มหิดล) หรือสมเด็จย่าของปวงชนชาวไทย เมื่อแรกประสูติทรงพระนามในสูติบัตรว่า “เมย์” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานนามว่า “หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา”

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงเป็นเชษฐภคินีของพระมหากษัตริย์ถึง 2 พระองค์ คือพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) พระองค์มีพระธิดาคนเดียวคือ ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระองค์ยังทรงเป็นสมเด็จยายของพระนัดดา คือ ร้อยเอกจิทัศ ศรสงคราม อีกด้วย

ตลอดพระชนมายุ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงมีพระกรณียกิจ อุทิศพระองค์เพื่อปวงชนชาวไทยหลายแขนง เช่น ทรงเป็นพระอาจารย์ ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้แก่นิสิตนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัย ทรงเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรตามท้องถิ่นทุรกันดารอยู่ไม่ขาดตั้งแต่สมัยที่ สมเด็จย่ายังทรงมีพระชนม์อยู่ แม้เมื่อสมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงรับภาระออกเยี่ยมเยียนราษฎร์แทนตลอดมา นับเป็นการแบ่งเบาพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก นอกจากนั้น ยังทรงรับหน่วยงานต่างๆ ไว้ในพระอุปถัมภ์ เป็นจำนวนถึง 63 แห่ง นับเป็นพระกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้ ในที่นี้ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์การที่ทำงานอนุรักษ์ช้างไทย คือ สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สังกัดองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

น้อยนักที่จะมีคนทราบว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงรักและห่วงใยช้างไทยเป็นอย่างมาก ทรงมีพระดำรัสครั้งหนึ่งว่า ปีประสูติ คือ “ปีกุน” หมายถึง “ปีช้าง” ในความเชื่อของชาวเหนือ แต่เป็น “ปีหมู” ของชาวภาคกลาง

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงทราบถึงคุณประโยชน์และปัญหาของช้างไทยที่ใกล้สูญพันธ์อย่างลึกซึ้ง จึงทรงรับสถาบันคชบาลแห่งชาติ ไว้ในพระอุปถัมภ์ ตามคำขอพระราชทานพระกรุณาธิคุณ ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 ในสมัยที่ นายชนัตร เลาหะวัฒนะ เป็นผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และทรงเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ถึง 5 ครั้ง ทรงรับช้างพังไว้ในพระอุปถัมภ์ถึง 3 เชือก และทรงรับช้างป่วยไว้ในพระอุปถัมภ์ อีก 1 เชือก ชื่อพังกรุงศรี ที่ถูกกับระเบิดขาขาด
การเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ครั้งแรก
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2537 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ เสด็จเยี่ยมลูกช้างพังยม (อายุ 1 ขวบ) และทรงรับลูกพังยมไว้ในพระอุปถัมภ์เป็นเชือกแรก ทรงประทานชื่อลูกพังยมว่า “จุฑานันท์”

ซึ่งก่อนหน้านี้คนทั่วไปในสถาบันคชบาลตั้งชื่อว่า “พระธิดา” เพื่อรอการประทานชื่อ เมื่อทรงประทานชื่อแล้ว จึงต้องเรียกว่า “จุฑานันท์” ขณะนี้พังจุฑานันท์ เติบโตเป็นช้างสาวสวยอายุ 15 ปี มีนิสัยร่าเริง น่ารัก นิสัยดี
การเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ครั้งที่ 2
เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2540 ซึ่งตรงกับวันประสูติ ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ พอดี และช้างเลี้ยงของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ชื่อพังวังเจ้า ได้ตกลูกเพศเมีย ความทราบถึงพระองค์ท่าน จึงได้รับลูกช้างพังวังเจ้า ไว้ในพระอุปถัมภ์และได้เสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2540 ทรงเยี่ยมลูกช้างพังวังเจ้า และประทานนามว่า “วนาลี” แปลว่า ทางแนวป่า ปัจจุบันอายุ 11 ปี

การเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ครั้งที่ 3
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นวันช้างไทยพอดี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง คราวนี้พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของควาญช้าง พระองค์ทรงเห็นว่าอาชีพควาญช้างเป็นอาชีพที่หาคนทำยาก รายได้ก็น้อย คนที่มีอาชีพนี้ต้องรักจริงๆ ต้องเสียสละ ต้องทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด ทรงเห็นว่าควาญช้าง ควรได้รับความช่วยเหลือให้มีชีวิตที่พอเพียง จึงได้ประทานเงินให้จัดตั้ง “กองทุนสวัสดิการควาญช้าง” ขึ้น ในสถาบันคชบาลแห่งชาติ เพื่อให้ควาญช้าง และครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือในยามขาดแคลน เช่น การเจ็บป่วย การศึกษาเล่าเรียนของบุตรธิดา นับเป็นพระกรุณาธิคุณต่อพสกนิกร “ควาญช้างไทย” เป็นอย่างยิ่ง

การเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ครั้งที่ 4
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2545 เป็นปีสำคัญที่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงเสด็จเยี่ยมเยียนศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ครั้งที่ 4 คราวนี้ทรงติดตามผลการเลี้ยงดูช้างในพระอุปถัมภ์ 2 เชือก คือ พัง “จุฑานันท์” และพัง “วนาลี” ทรงชื่นชมที่ช้างทั้ง 2 เชือก เจริญเติบโตแข็งแรง นิสัยดี ในการนี้ทางองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ได้ขอพระกรุณารับสถาบันคชบาลแห่งชาติ ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ ไว้ในพระอุปถัมภ์ พระองค์ก็ทรงมีพระกรุณาธิคุณ รับสถาบันคชบาลแห่งชาติไว้ในพระอุปถัมภ์ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2545 จากนั้นทรงตรัสถามการดำเนินงานของสถาบันอยู่เสมอและประทานเงินส่วนพระองค์ แก่สถาบันทุกๆ ปี

การเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ครั้งที่ 5
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ได้เสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งนับเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งนี้ทรงเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลช้างเป็นพิเศษด้วย พร้อมกันนั้นทรงรับลูกช้างเพศเมีย (ลูกพังพุ่มพวง) ไว้ในพระอุปถัมภ์ เป็นเชือกที่ 3 ทรงประทานชื่อว่า “อลีนา” แปลว่า “ว่องไว” พัง “อลีนา” เกิดวันที่ 6 พฤษภาคม (2547) ซึ่งตรงกับวันประสูติของพระองค์พอดี

ในการเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยในครั้งนี้ พระองค์ทรงสนพระทัยโรงพยาบาลช้าง สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์เป็นพิเศษ นายสัตวแพทย์สิทธิเดช มหาสาวังกุล ได้เล่าถึงพระกรุณาของพระองค์ท่านที่มีต่อช้างที่เจ็บป่วยว่า “ทรงห่วงใยและตรัสถามการดูแลรักษาช้างป่วยด้วยความสนพระทัย และทรงให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างมากมาย ตลอดจนทรงประทานเงินส่วนพระองค์สนับสนุนโครงการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลช้าง ที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง จำนวน 500,000 บาท (ห้าแสนบาทถ้วน) เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อให้งานรักษาช้างป่วยดำเนินการได้โดยไม่ชักช้า ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล นอกจากทรงเสด็จเยี่ยมศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยถึง 5 ครั้งแล้ว ยังทรงเสด็จเป็นประธานเปิดงานสัมมนาวิชาการ ที่คณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ จัดประชุมนานาชาติเรื่องการดูแลสุขภาพช้างเอเชีย เมื่อ พ.ศ. 2542 ด้วย”

การที่เจ้านายแห่งราชวงศ์ชั้นสูง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงให้ความรักความห่วงใยต่อช้างไทย ตลอดถึงควาญช้าง นับเป็นแบบอย่างที่ดีที่พสกนิกรไทยควรจะให้ความสนใจ มูลนิธิอารี สุทธิพันธุ์ สถาบันคชบาลแห่งชาติ และ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ชักชวนศิลปินทั้งชาวไทย และศิลปินชาวต่างประเทศ ที่มีความสามารถ ความห่วงใย ในสภาพความเป็นอยู่ของช้างไทย ตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ  มาร่วมกันสร้างสรรค์ศิลปกรรม และนำผลงานออกแสดงต่อสาธารณชนมาแล้วรวมทั้งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 เพื่อหวังปลุกจิตสำนึกคนไทยให้ตระหนักถึงปัญหาของช้างไทยเป็นหลักใหญ่ และเพื่อนำรายได้ที่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเพื่อช้าง บริจาคสมทบทุน “กองทุนศิลปินเพื่อช้าง” สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ ที่เหล่าศิลปินก่อตั้งขึ้นเพื่อนำเงินไปช่วยแก้ปัญหาของช้าง ไม่ว่าจะเป็น การรักษาช้างเจ็บป่วย สร้างหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (หน่วยช่วยชีวิตช้างหน่วยที่ 2) ไปช่วยช้างที่เกิดเหตุร้ายเฉพาะหน้า ตลอดจนช่วยสวัสดิการควาญช้าง และอื่นๆ เป็นการสนองพระปณิธานของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ แม้พระองค์ได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้วด้วยความสำนึกในพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

บทความครั้งต่อไปผู้เขียนขอเสนอบทความเกี่ยวกับนิทรรศการศิลปินเพื่อช้าง โปรดติดตามบทบาทของมูลนิธิอารี สุทธิพันธุ์ และศิลปินเพื่อช้างครับ

ขอบคุณข่าวจาก หนังสือพิมพ์บ้านเมือง เสาร์ที่ 18 ตุลาคม 2551 09:30:45 น. และ อาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม 2551 11:05:38 น.